ขอบคุณภาพประกอบจาก dhammachak.net
"สติสัมปชัญญะ"
"Mindfulness and consciousness"
คำว่า “สติ” หมายถึง ความระลึกได้ นึกได้อาการที่จิตฉุกคิดขึ้นได้ เช่น ฉุกคิดขึ้นได้ว่า ถึงเวลาสวดมนต์แล้วเป็นต้น ดังนั้น “สติ” จึงเป็นอาการจิตนึกขึ้นได้ ซึ่งตรงข้ามกับอาการเรียกว่า “เผลอ”หรือ“ลืม”
ในพระพุทธศาสนา ถือว่า “สติ” เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก กล่าวคือ “สติ” ช่วยไม่ให้งานการเสียหายเพราะลืมทั้งนี้เพราะการงานบางอย่าง ถ้าลืมเสียย่อมจะเกิดความเสียหายร้ายแรงได้ เช่น หมอลืมให้ยาคนไข้คนไข้ก็อาจเสียชีวิตพระลืมลงสวดปาฏิโมกข์ก็ต้องอาบัติ เป็นต้น ดังนั้นสติจึงเป็นธรรมมีอุปการะมาก เพราะ
ช่วยไม่ให้เราเผลอ ไม่ให้หลงลืมในสิ่งที่ควรทำหรือต้องทำ ยิ่งกว่านั้นสติยังเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งในการเจริญภาวนาเพื่อมรรคผลนิพพานต่อไปอีกด้วย
คำว่า “สัมปชัญญะ” หมายถึง ความรู้สึกตัว หรืออาการรู้ตัวในขณะทำอยู่ เช่น รู้ว่าเรากำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไรหรือ กำลังทำอะไร
พระพุทธศาสนาถึงว่า “สัมปชัญญะ” เป็นธรรมที่มีอุปการะมากอีกข้อหนึ่ง โดยทั่วไปจะใช้คู่กับ “สติ”
เรียกว่า“สติสัมปชัญญะ”โดยถือว่า “สติ” เกิดก่อนทำ พูด และคิด ส่วน“สัมปชัญญะ” เกิดในขณะกำลังทำ พูด และ คิด แต่ธรรมทั้งสองนี้จะเกิดควบคู่กันเสมอ
ใน คัมภีร์อรรถกถา ปาฏิกวรรค ได้แบ่งสัมปชัญญะออกเป็น ๔ ประการ คือ
๑. สาตถกสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นมีประโยชน์หรือไม่
๒. สัปปายสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นเป็นที่สบายหรือเหมาะสมกับตนหรือไม่
๓. โคจรสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นเป็นกิจที่ควรทำหรือไม่
๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวว่า สิ่งที่ตนกำลังทำนั้นเป็นความหลงเข้าใจผิด หรืองมงายหรือไม่
ที่มา : ข้อปฏิบัติเบื้องต้นของพระภิกษุ : ๕. ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ
http://goo.gl/71O7wg